People ใจจริงจัง

สัมภาษณ์ พี่เสก พี่ปู ร้าน “Tree House Café” เมื่อการค้นหาชีวิตที่ชอบ ได้พบคำตอบอยู่ที่บ้าน

วันนี้เราอยู่กันที่ร้าน “Tree House Café” ค่าเฟ่เล็กๆ ในบ้านที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ร้านที่หลายคนยกให้เป็น “คาเฟ่ที่ทำสปาเกตตี้ได้นิดหน่อย แต่อร่อยเป็นเบอร์ต้นๆของหัวหิน” ทุกเมนูของที่นี่ถูกรังสรรค์ผ่านกระบวนคิดและความตั้งใจของ “คุณเสก” และ “คุณปู” เครื่องดื่มที่ผสมพร้อมประสบการณ์ อาหารที่จัดรสและจัดจานตามนิยามความชอบของตัวเอง พร้อมคลังความรู้เรื่องคราฟต์เบียร์ที่เราว่า “ลึก” ไม่แพ้ใครในหัวหิน

เมื่อการอยู่บ้านกลายเป็นคำตอบ ของทุกความชอบในชีวิตที่ต้องการ เรื่องราวของทั้งคู่เป็นยังไง ร้าน Tree House จะน่าสนใจแค่ไหน หาคำตอบพร้อมกันผ่านบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย


แนะนำตัวคุณเสก คุณปู และร้าน Tree House Café ปัจจุบันขายอะไรบ้าง

คุณเสก : สวัสดีครับ ผมเสก-เสกสรร อนุไพร อายุ 47 ปี ปัจจุบันที่ร้านมีเครื่องดื่ม ชา กาแฟ สปาเกตตี้ แล้วก็คราฟต์เบียร์ครับ

คุณปู : ปู-สุภัทรา อนุไพรค่ะ อายุ 42 ปีค่ะ ร้านเปิด 09:00 – 18:00 น. หยุดวันพุธค่ะ 


จุดเริ่มต้นของการเปิดร้านในบ้าน ความตั้งใจแรกคือแบบไหน

คุณเสก : ผมเคยทำงานอยู่บนเรือสำราญราว ๆ สิบปี ความตั้งใจแรกคืออยากไปทำงานเพื่อเอาเงินกลับมาซัพพอร์ตครอบครัว เคยวางแพลนไว้สามปีหลังจากทำงานเรือ เก็บเงินให้ได้สักก้อน แต่พอได้รับการเลื่อนขั้นเราก็รู้สึกว่ามันสามารถไปต่อได้ ทำไปเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าเราไปโฟกัสกับจำนวนเงินมากกว่าความตั้งใจแรก ก็เลยกลับมาคิดกับตัวเองว่า จะทำงานต่อเพื่อเอาเงิน หรือจะกลับมาอยู่กับครอบครัว เพราะตอนนั้นการทำงานบนเรือสำราญก็ถือว่าเงินเดือนค่อนข้างสูงอยู่นะครับ แต่แล้วจะทำงานไปจนถึงอายุเท่าไร หรือว่ามันถึงเวลาที่เราจะกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ผมว่านี่น่าจะเป็น turning point ที่ทำให้ผมตัดสินใจกลับมา 

ตอนที่กลับมาปีแรกผมคิดว่าเราได้มาอยู่กับครอบครัวแล้ว จึงกลับไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดในการทำงานเหมือนกัน กลายเป็นว่าเราทิ้งเงินประมาณแสนกว่าบาทไป แล้วก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัวอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเราจะออกจากงานเรือทำไม ผมก็เลยคิดว่าถ้าเราลองหาอะไรที่ทำให้ได้อยู่กับครอบครัวนานกว่านี้จะดีกว่าไหม

คุณปู : ตอนแรกบ้านหลังนี้เป็นบ้านอยู่อาศัยปกติค่ะ ปูอยู่ที่นี่มาตลอดตั้งแต่ตอนปลูกบ้าน และด้วยความที่ปูจบด้านอาหารอยู่แล้ว พี่เสกก็ทำงานด้าน F&B เพราะฉะนั้นมันก็ลงตัวค่ะ ประกอบกับช่วงก่อนที่จะทำร้าน เวลามีเพื่อน ๆ มาก็จะบอกกันว่าบ้านสวย มีความต้นไม้ มีสวน เราก็เลยลองเปิดเป็นคาเฟ่ในบ้านดูค่ะ

คุณเสก : การจะเปิดร้านอาหารหนึ่งร้าน fixed cost มันก็มาจากค่าเช่า ซึ่งต้องบอกว่าหัวหินในสมัยก่อน ถ้าเทียบกับสภาพเศรษฐกิจ ผมก็ถือว่ามันแพงนะในการเช่าที่เพื่อทำร้านอาหารหนึ่งร้าน เวลาทำธุรกิจในระยะยาวมันจะอยู่ลำบากครับ แล้วเราก็จะเครียด เพราะว่าเงินส่วนใหญ่เอาไปลงกับค่าเช่าทั้งหมด เราจะไม่ได้เอนจอยกับมันจริง ๆ ก็เลยมองว่าเรามีวัตถุดิบอะไรที่สามารถทำได้บ้าง อย่างตอนทำบ้าน เราออกแบบให้ตัวบ้านสามารถอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ย้อนกลับไปสมัยก่อนที่รู้จักกับปูแรก ๆ แล้วเช่าบ้านกันอยู่ ด้วยชีวิตวัยรุ่น บางครั้งผมไม่มีเงินแม้กระทั่งจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

ผมเลยคิดว่าถ้าเราทำอะไรที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เป็นหลักมันน่าจะดีนะ และในวันที่ปูอุ้มลูกชายคนโตออกไปนอกบ้าน เพราะวันนั้นไฟดับแล้วมันร้อนมาก อยู่ไม่ได้ พัดลมก็ไม่ทำงาน แต่พอปูเอาลูกออกมาอยู่ในสวน เขากลับเงียบ ผมก็เลยคิดว่าพอยต์ตรงนี้น่าใช้ในการทำบ้านขึ้นมาสักหลังหนึ่ง ให้เราอยู่กับธรรมชาติได้จริง ๆ ผมเรียนรู้การจัดสวนจากการอ่านตามหนังสือ แล้วก็นำมาปรับใช้กับตัวเอง ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ผมตามหาแรงบันดาลใจอยู่เหมือนกันครับ


คอนเซ็ปต์ของร้าน Tree House Café เป็นแบบไหน

คุณปู : ปูมองว่าเราเปิดร้านมา ณ วันนี้ปูไม่ได้อยากเป็นร้านค้าค่ะ ปูอยากให้เป็นฟีลเหมือนเพื่อนมาบ้าน จริง ๆ คอนเซ็ปต์แรกของการเปิดร้านมันคือทานอาหารบ้านเพื่อนนะคะ สมัยเปิดแรก ๆ ปูไม่มีอาหาร take away เพราะอยากให้เป็นเหมือนการมาทานอาหารบ้านเพื่อนมากกว่า ปูมีความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ค้ากับลูกค้า กับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับเพื่อนมันต่างกัน การเป็นเพื่อนกับเพื่อนนั้นสบายใจกว่า ปูจะไม่ค่อย push การขายของปูสักเท่าไหร่ ลูกค้ามาก็จะรู้ค่ะ อยากให้เขาสบายใจที่มากิน

เหตุผลที่เลือกเสิร์ฟเฉพาะสปาเกตตี้ เพราะปูมีความรู้สึกว่า อาหารอื่น ๆ ทานที่ไหนก็ยังมีคนที่ทำได้อร่อยกว่าเรา แต่อย่างสปาเกตตี้ ปูไม่ได้เรียกว่าของปูอร่อย เพียงแต่ปูมองว่าให้คนชอบในรสประมาณเดียวกันกับปูมากกว่า ซึ่งปูทำเองทั้งหมดค่ะ ค่อย ๆ ปรับจากวันแรก จนมา ณ วันนี้ก็ 9 ปีแล้วค่ะ

คุณเสก : ส่วนของผมเอง turning point คือการอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว ฉะนั้นเราไม่ได้คิดว่าต้องทำเมนูที่หวือหวา แต่ทำเมนูที่อยู่กันได้ หลัก ๆ ของเราคืออยู่กับลูก แล้วก็ถ่ายทอดประสบการณ์ และการเรียนรู้ส่งผ่านไปให้ลูก ผมก็เลยจะพยายามฝึกให้ลูกทำด้วย ดังนั้นเมนูก็เลยง่าย แล้วตัวเองชอบกาแฟมาก่อนก็เลยไป take course เหมือนกัน แล้วก็ปรับให้มันเข้ากับตัวเรามากขึ้น แล้วอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่น เราก็ต้องใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วยครับ


แนะนำเมนูขายดี และเมนูที่อยากให้ลองทาน

คุณปู : อย่างสปาเกตตี้ของปูน่าจะต้องเป็น “เพสโต้” ค่ะ เป็นเมนูแนะนำของที่นี่ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าไม่เหมือนกับที่อื่น อาจจะด้วยเรื่องวัตถุดิบด้วยค่ะ เพราะปูเป็นคนจ่ายตลาดเองทั้งหมด ปูไม่ได้ใช้ frozen วันไหนที่กุ้งไม่สด ปูก็จะไม่เสิร์ฟเพสโต้กุ้งโดยเด็ดขาด ไซซ์และความสดของกุ้งจะต้องได้ตามที่ปูต้องการ ราคาของวัตถุดิบซีฟู้ดอาจจะสวิงตามฤดูกาล แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ

คุณเสก : จริง ๆ มันก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยครับ แต่ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาในระยะหลังก็จะมาเพราะเพสโต้ทั้งนั้นเลย ขับมาเพื่อพิสูจน์ เพราะเพื่อนบอกว่าอร่อย เราก็ต้องเรียกตัวเองว่าเป็นโฮมคาเฟ่ ฉะนั้นมันก็เหมือนกับที่เราทำกินกันเองที่บ้าน ปูไปจ่ายตลาดแล้วเจออะไรที่สดใหม่ ก็ลองเอามาทำดู ซึ่งบางทีเป็นการทดลองด้วยซ้ำไปว่าจะทำได้ไหม คนที่รู้จักกันก็จะถามว่าวันนี้พี่ปูมีอะไรบ้าง เหมือนลองทำแล้วดูว่าเขาชอบไหม แล้วก็ค่อยเอาไปใส่ลงในเมนูจริง ๆ อย่างเพสโต้ก็เกิดจากการที่ปูไปค้นคว้ามาแล้วชอบ จนผมบอกว่าทำไมไม่ลองทำดู ซึ่งพอทำไปก็มีคนชอบ บ้างก็ให้คำแนะนำมา เราก็ปรับรสชาติกันมาเรื่อย ๆ ครับ


อะไรคือตัวตนของร้าน Tree House Café ที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมา

คุณปู : เป็นบ้านเพื่อนค่ะ มาทานอาหารบ้านเพื่อน ฟีลพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า

คุณเสก : คือเราไม่ได้สร้างบ้านมาเพื่อจะทำเป็นคาเฟ่ อันนี้คือมู้ดที่เราต้องการให้บ้านมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วครับ หลาย ๆ ครั้งสมัยก่อนเวลาคนขับผ่านไปผ่านมา เขาก็สนใจแล้วก็อยากจะเข้ามาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะมันแปลก และถ้าทำในแนวนี้คงไม่ใช่คนไทย คนก็เลยสนใจแล้วเข้ามาถามผมอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งการที่เราปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะต้องการให้ร้านออกมาดูดี แต่มันคือบ้านที่เราอยู่ ฉะนั้นมันคือสิ่งที่เราภูมิใจนะ ผมว่ามันแสดงตัวตนของเราชัดเจนครับ


จากวันแรกจนวันนี้ร้าน Tree House Café มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง

คุณเสก : จริง ๆ ผมว่าต้นไม้มันโตขึ้นครับ ก็เลยทำให้ทุกคนมองว่ามันเปลี่ยนแปลง พออยู่กับธรรมชาติ มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราจะเล็กลงเรื่อย ๆ ต้นไม้ก็คือต้นที่ลงไว้ตั้งแต่แรก บ้านก็น่าจะ 15 ปี ต้นไม้ก็ 12-13 ปีครับ แต่ถ้าให้ผมแนะนำหากมีพื้นที่ให้เขยิบห่างออกไปนิดหนึ่ง หรือเลือกพันธุ์ไม้ที่รากไม่ชอนไช แต่ผมคิดว่าผมโชคดี เพราะวันที่เลือกต้นไม้ อย่างเช่น ต้นจิก มันเป็นรากแผ่ ไม่ใช่รากลอย รากมันจะเกาะหน้าดินอยู่ ผมก็เลยลงลึกและไปศึกษาหาข้อมูล ซึ่งมันก็คือต้นไม้ที่เขาใช้ในการบังลมตามรั้วบ้านของภาคใต้ ป้องกันลมที่จะมาปะทะบ้าน ไม่อย่างนั้นลมจะชนกระจกแล้วสะเทือนเลยครับ

และด้วยความที่บ้านของเราเป็นบ้านประหยัดพลังงาน ก็เลยทำให้เราพยายามคอนโทรลบ้านเพื่อให้มันสามารถโฟลวได้ตลอดทั้งวัน โดยการที่เปิด-ปิดช่องหน้าต่าง ถ้าเราจะบังคับให้ลมไปทางไหนเราปิดตรงนั้น ตัวอาคารบ้านไม่ได้มีเปลี่ยนแปลงมาก อาจจะมีเสริมปรับแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ 

แต่ที่เปลี่ยนแปลงจริง ๆ น่าจะเป็นพนักงานผม ลูกชายผมจากที่วันแรกเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เขาสามารถคอนโทรลได้ทุกอย่าง  คุยกับแขกได้ ทำเครื่องดื่มได้ ซึ่งอันนี้มันเป็น พอยต์ที่ผมรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการทำร้าน เพราะลูกสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ และสามารถเอาวิชาตรงนี้ไปเลี้ยงตัวเองได้แล้วด้วยครับ


มีส่วนไหนที่อยากลองทำเพิ่มเติมไหม

คุณเสก : จริง ๆ ผมก็ยังคุยกับปูอยู่ครับ เพราะผมมองว่าสิ่งที่เรามีมากกว่าคนอื่นอาจจะเป็นประสบการณ์ในการทำงาน อย่างผมมีประสบการณ์ในการขายคราฟต์เบียร์ เรียกว่ามีวิชาชีพในการที่จะเป็นเบียร์เทนเดอร์ที่ดี ผมก็อยากทำเหมือนเป็นการเทรนนิ่ง ให้คุณมาเรียนการเป็นเบียร์เทนเดอร์จากผม ควรเลือกเบียร์ให้ลูกค้ายังไง มีบทสนทนาแรกยังไง

ส่วนปูก็อยากให้ลองสอนทำสปาเกตตี้ เพราะผมก็ต้องบอกว่าปูเองก็ถึงแก่นในการทำสปาเกตตี้ในสไตล์ของเขานะครับ เป็นคลาสทำอาหารเล็ก ๆ จอยกับคราฟต์เบียร์ มีคนแนะนำมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ยังสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่ด้วยอายุที่มันมากขึ้น กำลังเราสู้วัยรุ่นไม่ได้แล้ว เราควรจะอยู่ใน safe zone ก่อน แล้วค่อย ๆ ดูว่ามันมีช่องทางตรงไหนที่เหมาะกับเรา

พอยต์จริง ๆ เราอยากมีรายได้ แต่หลัก ๆ คืออยู่บ้าน มันก็ถึงเวลาที่เราต้องมีธุรกิจอะไรบางอย่างแล้วละ ถ้าเลือกแล้วว่าจะมาทางนี้ ฉะนั้นเราจะต้องหา income เพื่อไปต่อ ผมเริ่มทำตอนอายุ 36 จนตอนนี้ 46 แล้ว เงินมันอาจจะมีไม่มาก แต่ value มันคือ branding ของเรา ซึ่งมันเอาไปต่อยอดได้ อย่าง “HuaHin Craft Beer” ที่ผมต่อยอดจาก value ที่ทำมาเมื่อ 10 ปีก่อน ยังมีคนสั่งจากร้านผมไปอีสาน กลับไปกรุงเทพฯ เลย ซึ่งจริง ๆ เบียร์ต้มในกรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่เราเลือกเบียร์ แล้วเทสของเราเป็นประมาณนี้ เขาก็ชอบเทสของเราครับ ผมก็ภูมิใจในตัวเองนะว่าเราน่าจะเป็นร้านต้น ๆ ที่เริ่มขายคราฟต์เบียร์ แล้วก็แชร์ประสบการณ์

มีกลุ่มลูกค้า โตไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนที่รู้จักก็กลายเป็น brewer ที่มีชื่อเสียง มีแบรนด์ของตัวเอง หลายคนกลายเป็นตัวท็อปในการทำเบียร์ไปแล้ว เราอาจไม่ได้เป็นคนต้ม แต่สุดท้ายเขาเอาแรงบันดาลใจจากเรากลับไปใช้ต่อ แล้วไปต่อยอดพิสูจน์ตัวเอง เราเหมือนไปจุดประกายให้เขาอะไรแบบนี้ครับ


ฝากคำแนะนำถึงคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตัวเอง

คุณเสก : ผมมีรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ต้องเรียกว่าเขาประสบความสำเร็จแล้วครับ ตั้งแต่ที่เขามาหาผม บอกว่าได้แรงบันดาลใจจากผม ผมก็บอกไปว่า ให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ชอบก่อน แต่สุดท้ายพอทำจริง ๆ คุณก็ต้องหาสิ่งที่ชอบที่สุดให้เจอ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณอาจยังไม่ได้ชอบมันจริง ๆ อย่างตัวผมถ้าวันพรุ่งนี้มีต้นไม้ที่จะออกใบใหม่ ผมตื่นเต้นมาก แล้วจะหาวิธีว่าจะตกแต่งสวนยังไง คุณจะต้องมีความรู้สึกว่าหลงรัก และ active กับมันตลอดเวลา

ผมก็ให้คำแนะนำไปว่าลองหาตัวเองให้เจอ แล้วสุดท้ายเขาก็หาตัวเองเจอจริง ๆ เบนจากสวนไปทำในสิ่งที่เขาชอบแทนแล้ว เขาได้มีความสุขในสิ่งที่ทำจริง ๆ เพราะถ้าคุณชอบคุณจะเห็นปัญหาในอีกมุมหนึ่ง แล้วทำให้รู้สึกว่าพรุ่งนี้ต้องทำให้ดีขึ้นนะ แต่เมื่อไหร่ที่คุณโฟกัสในเรื่องของตัวเงิน วันใดที่ขายไม่ได้เลย คุณจะมีความรู้สึกดาวน์ กำไรน้อย แล้วจะไปยังไงต่อ แล้วคุณก็จะทิ้งในสิ่งที่คุณบอกว่ารักมากที่สุดไปครับ

คุณปู : ถ้าหากทำร้านเล็ก ๆ แบบปู ด้วยอายุประมาณนี้แล้วปูมองว่าความชัดเจนในตัวตนเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าค่ะ ปูอาจไม่ได้ชอบตลาดแมสสักเท่าไหร่ ปูชอบวันที่ลูกค้าเดินเข้ามาในหนึ่งรอบไม่ได้เยอะมาก หลังจากทำอาหารเสร็จ ปูมีโอกาสได้ออกมาพูดคุยแลกเปลี่ยน เราเชื่อว่าของทุกอย่างที่เสิร์ฟ อาหารทุกอย่างที่ทำ มันเป็นอาหารที่เราทาน อาหารที่ปูแนะนำคืออาหารที่ดีที่สุดของวันนั้น

ปูเป็นคนออกมาเสิร์ฟเอง ถ้าอาหารรสไม่ดี วัตถุดิบไม่ดี ลูกค้าถามกลับมาว่า คุณกล้าเสิร์ฟอาหารแบบนี้ได้ยังไง มันคือทั้งตัวตนของปูเลยนะคะ มันคือเทสของปู ฉะนั้นสิ่งที่ปูเสิร์ฟ เรา proud to present จริง ๆ ปูมองว่าเราขายตัวตนของเราจริง ๆ ว่าปูเป็นคนแบบนี้นะ ทำอาหารแบบนี้ วิธีการพูดคุยของปูประมาณนี้นะ ซึ่งปูบอกกับทุกคนว่าคุณจ่ายราคาเท่าเดิม ทำไมคุณจะต้องกินของที่มันเย็นแล้ว ฉะนั้นมันอาจมีช้าหน่อย แต่ทุกคนได้ทานอาหารที่ร้อนและใหม่ รสชาติเป็นไปตามที่ปูอยากให้เป็น


สรุปส่งท้าย ฝากข้อความถึงลูกค้าที่ยังไม่เคยมา และลูกค้าเก่าที่มาประจำ

คุณเสก : สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เคยมา ผมก็ยังชอบคำนี้นะครับว่าหัวหินไม่ได้มีแต่ทะเล มู้ดของผม มันเป็นสิ่งที่ผมชอบ และอยากให้แตกต่าง ถ้าเราอยากจะทำธุรกิจอะไร มันสามารถทำจากสิ่งที่อยู่ใน safe zone ของเราได้ อยากให้ลองแวะมาสักมื้อหนึ่ง คุณอาจได้อะไรกลับไปและเอาไปต่อยอดในการทำบางสิ่งบางอย่างได้ครับ

ส่วนลูกค้าเก่า ๆ ก็มาประจำอยู่แล้วครับ ผมเองก็ดีใจเหมือนเราได้เจอเพื่อน ได้ฟังสิ่งที่เขาบอกเล่าที่เอาแรงบันดาลใจจากเราไปใช้ บางทีเขาปลูกต้นไม้ชนิดอื่นก็มาช่วยให้คำแนะนำ เหมือนเรามาแลกความรู้ซึ่งกันและกัน และเป็นเพื่อนกันมากกว่า ก็ขอบคุณมากครับ

คุณปู : ส่วนใหญ่เวลาที่ปูรับโทรศัพท์จากลูกค้า ปูก็จะบอกลูกค้าไปตรง ๆ เลยค่ะ เช่น ร้านปูไม่มีแอร์นะคะ ร้านปูมีแต่สปาเกตตี้นะคะ เพราะปูไม่อยากให้เข้ามาแล้วผิดหวัง คุณมีทางเลือกอื่น เพียงแต่ถ้าคุณอยากลองสปาเกตตี้ ปูอยากให้มาลองกับปูสักครั้งค่ะ 

สำหรับลูกค้าเก่าไม่ต้องคุยถึงเรื่องรสอาหารกันอยู่แล้ว เพราะปูมองว่าทุกคนเชื่อใจ ถ้าเป็นลูกค้าเก่าจะไม่กินอาหารในเมนูแล้วค่ะ เพราะส่วนใหญ่ก็จะมาถามว่าวันนี้ทานอะไร ปูก็อยากขอบคุณที่ยังรักกันอยู่ แล้วก็ยังเข้ามาหาค่ะ ทุกวันนี้มันเหมือนเป็นการมาเยี่ยมเพื่อนมากกว่า ก็ยินดีและขอบคุณค่ะ


ข้อมูลติดต่อ

🌳 Tree House Café
🚙 ซอยหัวหิน 29 สุดซอยเลี้ยวขวา
⏰ 09:00 – 18:00 น. (ร้านหยุดทุกวันพุธ)
📞 084 254 2265
🌏 แผนที่ Google Maps

Avatar photo
พวกเราหัวหินทาวน์ จะมาบอกเล่าเรื่องราวดีดีๆเกี่ยวกับหัวหินให้เพื่อนๆได้ชมกันนะคะ คิดถึงหัวหิน คิดถึงพวกเรา หัวหินทาวน์