HuaHin Next-Gen People

สัมภาษณ์ คุณหนุ่ม-ธนาสิน สถาปนิกรุ่นใหม่ กับแนวคิดการออกแบบเมืองหัวหินที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

วันนี้ HuaHin Town ขอมานั่งคุยกันแบบสบาย ๆ ในบรรยากาศเงียบสงบของโครงการ WABI SABI Onsen Villa HuaHin กับ คุณหนุ่ม – ธนาสิน ออสุวรรณ สถาปนิกรุ่นใหม่ที่เติบโตในหัวหิน และเลือกกลับมาลงมือสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับเมืองที่เขารัก ด้วยมุมมองการออกแบบที่ไม่ได้มองแค่ตัวอาคาร แต่ครอบคลุมไปถึง ชีวิต ความรู้สึก และอนาคตของคนในเมือง “งานออกแบบ” จะช่วยขับเคลื่อนหัวหินให้ดีขึ้นได้อย่างไร…ค้นหาคำตอบพร้อมกันผ่านบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย


เลือกดูจากหัวข้อ ปิดสารบัญ

แนะนำตัวคุณหนุ่ม ปัจจุบันทำอะไรบ้าง

สวัสดีครับ หนุ่ม-ธนาสิน ออสุวรรณครับ เป็นคนหัวหินโดยดั้งเดิมเลยครับ จบมัธยมที่โรงเรียนหัวหินวิทยาลัย จากนั้นได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท ทางด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนจบมาประมาณ 3 ปีแรก ก็ทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัท หลังจากนั้นก็มาเป็นสถาปนิก ในบริษัท developer ของญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังทำโครงการ WABI SABI Onsen Villa HuaHin ร่วมกับพี่ชายครับ


จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจในการเลือกเป็นสถาปนิกคืออะไร

จริง ๆ ก็เป็นความชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยครับ ช่วงประมาณม.ต้น ผมเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเรือนแพ ที่มีลักษณะคล้าย “โฮมสเตย์” ของอัมพวา แล้วรู้สึกว่าทำไมที่นี่มีคาแรกเตอร์ที่ยูนีค แตกต่างจากที่อื่น เหมือนเราหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งเลย ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรานัก ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนใจสถาปัตยกรรม และเริ่มสังเกตพื้นที่ต่าง ๆ มาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งเราก็ยังไม่รู้หรอกว่าการออกแบบมันเป็นยังไง รู้แค่ว่าสิ่งเหล่านี้มีผลต่อความรู้สึกของเรา แล้วก็สิ่งที่เราอยากทำในอนาคต เริ่มมีไอเดีย มีคำถามเยอะ ว่าทำไมบ้านที่อยู่ติดน้ำถึงมีลักษณะแบบนี้ บ้านที่อยู่ติดทะเล หรือในหุบเขา ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ทำไมสถานที่เหล่านี้ถึงพิเศษกว่าที่อื่นๆ ทำให้ผมตัดสินใจไปเรียนทางด้านสถาปัตกรรมโดยตรงครับ


ผลงานการออกแบบที่ผ่านมาของคุณหนุ่มมีอะไรบ้าง

ช่วงก่อนเรียนจบ ผมรับงานออกแบบกับเพื่อน ๆ เริ่มมาตั้งแต่ coffee-stand รีโนเวทบ้าน และร้านอาหาร พอเริ่มมาทำงานบริษัทก็จะเป็นการออกแบบบ้านอยู่อาศัย ตึก อาคารสูง บางอาคารเป็นทั้งออฟฟิศ บ้าน รวมถึงโรงงานเล็ก ๆ อยู่ในที่เดียวกัน จากนั้นจึงกลับหัวหิน ตอนอายุประมาณ 25-26 ปี เพราะว่าพี่คม พี่ชายของผม เป็นคนที่ทำงานตรงนี้มาอยู่ก่อนแล้ว และมี “demand” ของลูกค้าในมือเยอะมาก เราเองก็อยากจะทำ “supply” เข้าไป ให้ตอบโจทย์กับลูกค้าเหล่านี้ ผมก็เลยคิดว่าถ้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ก็อาจจะไม่มีใครให้โอกาสนี้กับเราอีก จึงตัดสินใจออกมาทำ Wabi Sabi ให้เต็มที่เลยครับ


คุณหนุ่มมีวิธีการหาความรู้หรือแรงบันดาลใจจากที่ไหนบ้างในการสร้างสรรค์งานออกแบบ

อันดับแรกผมก็จะเริ่มศึกษาจากงานที่ชอบก่อน ว่างานไหนส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ออกแบบ และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย เรารู้สึกแบบนั้นเพราะอะไร หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนรู้ ซึมซับ และหาคำตอบจากงานที่เราชอบ จนค่อย ๆ shape ออกมาเป็นงานของเราเอง ซึ่งงานออกแบบที่ทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ คือ งานออกแบบที่มันสอดคล้องกับพื้นที่โดยรอบของตัวอาคารนั้น ๆ เช่น อาคารที่อยู่กลางหุบเขา หรืออยู่ติดแม่น้ำ “ถ้าเราสามารถทำให้เข้ากับพื้นที่รอบข้างได้ จะรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ท้าทายตัวเอง ถ้าเราสามารถสร้างงานที่สอดคล้องกับสิ่งเหล่านี้ได้ จึงจะรู้สึกว่างานออกแบบนั้นๆ ประสบความสำเร็จแล้วครับ”


การออกแบบสถาปัตยกรรมในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างไร

และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางไหน

เรากำลังอยู่ในยุคของ “Big Bang Creative Design Era” คือ โลกมันเปิดกว้าง ดังนั้น ความท้าทายจึงอยู่ที่การนำเทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก มาใช้ในการออกแบบ นำองค์ความรู้ในแขนงต่างๆมา scope ให้เข้ากับงานออกแบบให้ได้ เพื่อให้ออกมาเป็นงานที่ดี อย่างที่ WABI SABI Onsen Villa HuaHin เราพยายามดึงคาแรกเตอร์ของหมู่บ้านออนเซ็นของญี่ปุ่นเข้ามา เนื่องจากมันเป็นออนเซ็นวิลล่า ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่พี่คม พี่ชายของผมชอบมาก แต่เราก็ไม่อยาก Copy และไม่สามารถหยิบเอามาใช้ตรง ๆ ได้ขนาดนั้น เนื่องจากภูมิประเทศต่างกัน สถานที่ต่างกัน ผู้ใช้งานต่างกัน และฟังก์ชันการใช้งานต่างกัน แต่เราขอดึงคาแรกเตอร์บางอย่างออกมา แล้วก็ปรับให้เข้ากับสถานที่ เทคโนโลยี และการใช้งานในบ้านของเรา

นอกจากนี้ “ปัจจุบัน” เรากำลังใช้ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี มาออกแบบและพัฒนาบ้านให้ดีที่สุด ล้ำสมัยที่สุด “หลังจากนั้น” ผมคิดว่าแนวโน้มในอนาคต คือการเอาความล้ำสมัยเหล่านั้น ปรับกลับมาทำบ้านให้มันเรียบง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด เข้ากับธรรมชาติของคน และตอบโจทย์ของวิถีชีวิตของคนในยุคสมัยต่อไปที่ “วุ่นวาย” ให้กลับมา “ธรรมดา” ที่สุดครับ


คอนเซปต์ของ WABI SABI Onsen Villa เป็นยังไง

บ้านของเรา ใช้คอนเซปต์ของคำว่า “Mass Interactive” คือสี่เหลี่ยมสามก้อนที่มีความแตกต่างกัน แต่นำมาจัดวางให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว มาจาก พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าในบ้านพูลวิลล่า ที่เป็นกลุ่มคนหลายช่วงอายุ เช่น คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ ลูกที่เป็นวัยรุ่น ลูกที่เป็นเด็ก ที่เป็นครอบครัวใหญ่หลาย ๆ ครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน หรือกลุ่มเจ้าของบริษัท ทีมงาน เด็กฝึกงาน หัวหน้างาน มาอยู่ร่วมกัน เราจะทำยังไงให้แต่ละคนมีพื้นที่ของตัวเอง แล้วก็ยังอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ได้ตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น “Mass” จึงสามารถตีความให้สื่อถึงคนได้ และ “Interactive” ก็คือการที่เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ โดยมีจุดเชื่อมโยงเป็นพื้นที่ส่วนกลาง หรือ “In-between space” ที่จะเชื่อมระหว่างคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ห้องนอน สระน้ำ ครัว หรือสวน ให้สามารถ interact กันได้ โดยที่ยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำครับ


ในฐานะสถาปนิกรุ่นใหม่ อะไรคือความท้าทายที่ต้องเผชิญในการทำงานในวงการนี้

พอเราเป็นมือใหม่ ที่ยังไม่มีผลงานที่เป็น “ตัวตน” ของเราแน่ชัด รวมถึงยังไม่มีผลงานที่สร้างชื่อเสียง ทำให้ “คำพูดของเราจะไม่ค่อยมีน้ำหนักกับคนรอบข้าง” มากนัก เพราะฉะนั้นการตัดสินใจจึงจะเป็นของคนอื่นเสียมากกว่า มันก็เลยทำให้เราต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ ที่เขามีตัวตนแล้วและมีประสบการณ์อยู่แล้ว เพื่อที่จะทำให้คำพูดของเรามันมีน้ำหนักเท่ากับพวกเขาเหล่านั้น ทั้งกับคนรอบข้าง ลูกค้า ผู้รับเหมา ช่าง นักท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งกับ “มีน้ำหนักกับตัวเราเอง” ก็เคยมีรู้สึกท้อบ้าง แต่ผมโชคดีตรงที่ตอนเรียนในมหาลัย จะสอนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว สถาปัตย์-ธรรมศาสตร์ จะสอนเรื่อง “การสร้างตัวตน การสร้างอัตตา” มากพอ ๆ กับการออกแบบ เพราะการออกแบบ และการก่อสร้าง ล้วนแล้วแต่เป็น “เรื่องพื้นฐาน” แต่ “สถาปนิก” มีหน้าที่เอาสิ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐานเหล่านั้น มาสร้างให้เกิดเป็นอาคารที่มีความงดงาม มีตัวตน มีเอกลักษณ์ ทำให้เกิดเป็น “ความสวยงามแบบใหม่” หากเรามาทำงานตรงนี้แล้วไม่ตั้งใจ อาจารย์ผมบอกว่า “อย่ามาทำเลย” เพราะเราจะติดอยู่กับภาพลักษณ์เดิมๆของบ้าน จะไม่เกิดการพัฒนางานออกแบบ และไม่ได้มีการพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง


การออกแบบมีส่วนช่วยในการพัฒนาเมืองยังไง และส่งผลต่อการพัฒนาในด้านไหนบ้าง

ผมคิดว่าการออกแบบเป็นส่วนที่สำคัญมากกับการพัฒนาเมืองนะครับ เพราะว่าเมืองที่ดี หรือเมืองที่ได้รับความสนใจ คือเมืองที่มี character เป็นของตัวเอง เช่น ถ้าเรานึกถึงเชียงใหม่ เราก็จะนึกถึงอากาศดี สองคือ creativity สามคือ เป็นพื้นที่ของนักศิลปะ character ของภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยว และเมืองแห่งการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือถ้าหากจะพูดไปไกลกว่านั้นถึงชิราคาวาโกะ ก็จะเป็น character ของ “world heritage” เป็นหมู่บ้านชาวนาที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเอกลักษณ์ตรงนั้นไปได้ เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า “การออกแบบสำคัญกับเมืองแค่ไหน” ผมคิดว่าเป็นส่วนสำคัญอันดับแรก ๆ ที่เราต้องตั้งคำถาม แล้วก็ตอบให้ได้ว่า อยากให้เมืองของเราเป็นแบบไหน อย่างหัวหิน เราอยากให้เป็นเมือง retirement ไหม หรืออยากให้เป็นเมือง investment หรือจะเป็นเมือง local หรือจะเมืองที่เน้นงานศิลปะ เพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาเมืองของเราไปในทิศทางเดียวกันได้ ให้การพัฒนาที่เกิดขึ้นส่งผลดีกับคนพื้นที่ ส่งผลดีกับ “คนหัวหิน” อย่างยั่งยืน


ถ้าให้ออกแบบอะไรใหม่ซักอย่างในหัวหิน คุณหนุ่มอยากออกแบบอะไร

ผมคิดว่า “หัวหิน” มีลักษณะเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่เป็นเมืองตากอากาศอยู่แล้ว ถ้าจะให้มีความพิเศษขึ้น ก็อยากให้ใส่ความ local ของ “ชาวหัวหิน” เข้าไป ผมอยากให้เรามี “common space” เป็นสวนสาธารณะ มีพิพิธภัณฑ์ มี art space ให้ “คนหัวหิน” เข้ามาใช้งาน ทั้งพักผ่อน เดินเล่น และเป็นพื้นที่สำหรับสร้างสรรงาน นำเสนองานที่ส่งเสริมกับการประกอบอาชีพในแขนงต่าง ๆ ให้เรามีพื้นที่ในการมานำเสนองานของตัวเอง หรือมาทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ให้คนหัวหินได้มี “พื้นที่ที่จะใช้ในการพักผ่อน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน” ลองนึกภาพเราเอานักศิลปะมาเจอกับชาวประมง ผมมั่นใจว่าจะเกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่มีความแตกต่างจากเมืองอื่นๆขึ้นมาได้ไม่ยาก แน่นอนว่าประชากรของเรามีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย สิ่งที่เรายังขาด คือ การนำความรู้แต่ละแขนงมาบูรณาการให้เกิดเป็น “การพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรร และการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน” ร่วมกันครับ

เรื่อง “public transport” ก็อยากพูดเหมือนกัน เพราะตอนนี้คนหัวหินต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตนเอง เพื่อใช้ในการเดินทาง แต่ถ้าเป็นเมืองที่พัฒนาแล้ว เขาจะพัฒนา “public transport ที่ดีให้กับคนที่เป็นคนพื้นที่จริง ๆ” ให้เราสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่ต้องมีต้นทุนอะไรมากมาย อยากให้มี shuttle bus ทั่วเมืองแล้วก็ลิงก์กับพื้นที่ต่าง ๆ ที่สำคัญ แล้วการพัฒนาก็จะกระจายไปทั่วเมือง ไม่ได้กระจุกอยู่แค่กลางเมือง หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งครับ อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เพียงโฟกัสกับ “การนำคนนอกพื้นที่ มาลงทุนในหัวหิน” เพราะคนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือ “คนภายนอก” ผมคิดว่าเมืองของเราจะแข็งแกร่งได้มากขึ้น และยั่งยืน ถ้าเราสนับสนุนให้ “คนภายใน” สามารถเติบโตขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง พัฒนาสาธารณูปโภค พัฒนาระบบการเดินทางสาธารณะ และพัฒนาสิ่งต่างๆที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของ “คนพื้นที่” ให้ดี ลงทุนกับ public transport และ common space ให้คนพื้นที่ทุกคนได้ใช้ร่วมกัน “เพื่อให้เราไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากเอกชนภายนอกขนาดนั้น” และ “ไม่ให้คนที่ได้ประโยชน์เป็นเพียงคนภายนอกขนาดนั้น” การพัฒนาที่ผมพูดถึงอาจจะช้ากว่า แต่จะทำให้เราแข็งแกรงขึ้นมาได้จากคนพื้นที่มากยิ่งขึ้น “ทำให้คนภายในแข็งแกร่งได้ด้วยตนเองมากขึ้น” ผมเชื่อว่าเราจะพัฒนาเมืองร่วมกันได้อย่างยั่งยืนมากกว่าครับ


สรุปส่งท้าย สามารถติดตามผลงานของคุณหนุ่มได้จากช่องทางไหนบ้าง

ตอนนี้ก็มีโครงการชื่อว่า WABI SABI Onsen Villa HuaHin นะครับ เป็นพูลวิลล่าเพื่อการลงทุน ทั้งหมดจำนวน 15 หลัง ตอนนี้เริ่มเปิดแล้ว 4 หลัง แล้วก็จะเปิดช่วงเดือนกรกฎาคมอีก 5 หลังครับ จะเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่เราตั้งใจแล้วก็พยายามจะทำให้ดี และในอนาคตก็อาจจะมีแพลนอื่น ๆ ตามมาอีก จะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ ขอบคุณครับ


ข้อมูลติดต่อ

🌐 Website Wabi Sabi Onsen Villa
🏡 WABI SABI Onsen Villa HuaHin

Avatar photo
พวกเราหัวหินทาวน์ จะมาบอกเล่าเรื่องราวดีดีๆเกี่ยวกับหัวหินให้เพื่อนๆได้ชมกันนะคะ คิดถึงหัวหิน คิดถึงพวกเรา หัวหินทาวน์