People คนที่นี่

“บุกรุก หรือ บุกเบิก?” สัมภาษณ์ชาวบ้านในชุมชนริมถนน นเรศดำริห์

“พวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุก” คือประโยคที่ชาวบ้านย้ำกับเราตลอดการสนทนา “ถ้ารัฐจะใช้กฎหมายบังคับให้เราออกจากที่นี่ เราจะต้องออกในฐานะ ผู้บุกเบิก ไม่ใช่ ผู้บุกรุก อย่างที่ถูกยัดเยียดตลอดมา”

ถ้อยคำสั้น ๆ แต่หนักแน่นนี้ ไม่ได้ถูกพูดเพียงครั้งเดียว หากถูกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น “เสียงเดียวกัน” ของทั้งชุมชน – เสียงที่ไม่ได้ต้องการท้าทายอำนาจรัฐ ไม่ได้ต้องการครอบครองชายฝั่งราคาแพง แต่เป็นเสียงของคนที่พยายามปกป้องสิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในมือ ศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกพื้นที่แห่งนี้ก่อนที่เมืองหัวหินจะปรากฏขึ้นบนแผนที่ใดๆ

ภาพ : สมัยศิลป์

บทความนี้เป็นบันทึกเสียงจากคนในพื้นที่ริมถนนนเรศดำริห์ – เล่าผ่านความทรงจำ เอกสารเก่า และประสบการณ์ตรงของชุมชนที่อยู่มาก่อนหัวหินจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว บนความตั้งใจที่ ไม่ได้จะชี้ว่าใครผิดใครถูก แต่ขอให้มีพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับ “ผู้บุกเบิก” ได้อธิบายตัวตนของตัวเอง

ถนนนเรศดำริห์ในวันนี้ สำหรับหลายคนอาจเป็นเพียงถนนเลียบทะเลเส้นหนึ่งในเมืองหัวหิน ร้านอาหาร บ้านพัก และอาคารที่ทยอยรื้อถอน กลายเป็นภาพคุ้นตาในข่าวข้อพิพาทเรื่องที่ดินและการบุกรุกที่สาธารณะริมชายหาด

แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดและเติบโตอยู่ริมถนนเส้นนี้มาเป็นรุ่นที่สาม รุ่นที่สี่ พื้นที่ที่หลายคนเรียกว่า “ที่สาธารณะ” กลับเป็นบ้านเกิด เป็นที่ทำกิน เป็นรากฐานของครอบครัว และเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองหัวหินในแบบที่คนรุ่นหลังไม่เคยเห็น

นี่คือบันทึกจากการลงไปนั่งคุยกับลูกหลานตระกูลเก่าแก่ริมทะเล ถนนนเรศดำริห์ ชุมชนที่เชื่อว่าตัวเองไม่ใช่ผู้บุกรุก แต่เป็นผู้บุกเบิก – และกำลังต่อสู้เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ของตัวเองถูกลบออกจากแผนที่เมือง

เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย บทความนี้จะเล่าเรื่องจากมุมของคนในชุมชนเป็นหลัก ในขณะที่ข้อเท็จจริงด้านกฎหมาย คำพิพากษา และมุมมองจากภาครัฐยังเป็นอีกด้านที่ควรถูกนำมาอ่านควบคู่กันไป ซึ่งหากได้ข้อมูลเพิ่มเติม พวกเราหัวหินทาวน์จะนำมาสรุปให้ได้ชมกันอีกครั้งหนึ่งแน่นอน


บทที่ 1 – หมู่บ้านก่อนเมือง: จุดเริ่มต้นของหัวหินริมทะเล

ย้อนกลับไปกว่าร้อยปี ก่อนจะมีโรงแรมรถไฟ ก่อนจะมีถนนนเรศดำริห์ ก่อนที่คำว่า “เมืองหัวหิน” จะปรากฏในแผนที่ราชการ พื้นที่ริมทะเลช่วงสะพานปลา – ศาลเจ้าแม่ทับทิมในวันนี้ เคยเป็นเพียงป่าริมทะเลและโขดหินเงียบ ๆ

จากบันทึกของตระกูลเก่าแก่ในพื้นที่ ระบุว่าเมื่อราว พ.ศ. 2377 มีครอบครัวจากเพชรบุรี โดยเฉพาะจากแถบบางจาน บางแก้ว อพยพเดินทางมาทางเรือ ตั้งใจจะไปต่อถึงประจวบคีรีขันธ์ แต่ระหว่างทางน้ำจืดในเรือหมดลง จึงแวะขึ้นฝั่งเพื่อหาน้ำ

ท่ามกลางหาดทรายและหินริมทะเล พวกเขาพบบ่อน้ำจืดผุดขึ้นมาอยู่บนแนวหิน – ปรากฏการณ์ที่ทั้งแปลกและพิเศษสำหรับคนเดินเรือในสมัยนั้น

บ่อน้ำเล็ก ๆ กลางหาดทรายนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งหลักแหล่ง ครอบครัวผู้เดินทางเริ่มมองว่าที่นี่อาจไม่ใช่แค่ที่พักชั่วคราว แต่เป็นที่อยู่ถาวรได้ พวกเขาตั้งบ้าน ทำประมง ใช้ชายหาดเป็นที่ตากปลา ซ่อมเรือ ซ่อมอวน และเรียกที่นี่ว่า “บ้านของเรา”

ภาพ : สมัยศิลป์

ต่อมา ครอบครัวอื่นก็ค่อย ๆ อพยพตามมา เชื่อมโยงกันเป็นชุมชนชายฝั่งเล็ก ๆ ที่มีทั้งบ้านไม้ โรงเรือนเก็บอุปกรณ์ประมง และพื้นที่ใช้ร่วมกันตามวิถีชีวิตทะเล ก่อนที่คำว่า “หัวหิน” จะถูกจำแนกเป็นเมืองหรือเทศบาล

ในบันทึกการซื้อขายที่ดินยุคแรก ๆ มีข้อความที่คนในชุมชนยังยกขึ้นมาอ้างเสมอว่า:

“ด้านตะวันออก ติดกับที่ชายฝั่งทะเล”

ข้อความนี้ปรากฎบนเอกสาร ซื้อ-ขาย ที่ดิน ลงวันที่ไว้เมื่อ เดือน ธันวาคม ร.ศ.127 หรือประมาณปี พ.ศ. 2451

ประโยคง่าย ๆ บนกระดาษแผ่นเก่า กลายเป็นหลักฐานสำคัญในใจของคนในพื้นที่ ว่าที่ดินที่เขาอยู่และใช้ทำกินมาหลายรุ่นนั้น ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าริมทะเล แต่เป็นที่ดินที่มีการครอบครองและใช้ประโยชน์มาต่อเนื่องยาวนาน


บทที่ 2 – วันที่ถนนตัดผ่านหมู่บ้าน: เส้นทางใหม่บนที่ดินเดิม

เมื่อเวลาผ่านไป หัวหินเริ่มถูกมองเห็นในสายตาของราชสำนักและผู้มีฐานะจากพระนคร โดยเฉพาะหลังรถไฟสายใต้เปิดถึงหัวหินในพ.ศ. 2454 และต่อเนื่องด้วยการสร้างโรงแรมรถไฟในพ.ศ. 2466-2467 การเดินทางมาพักตากอากาศริมทะเลจึงกลายเป็นเรื่องหรูหรา และในช่วงเดียวกัน วังจักรพงษ์ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นที่ประทับตากอากาศของกรมหลวงจักรพงษ์ภูวนารถ ทำให้พื้นที่ริมทะเลหัวหินเริ่มมีวัง มีที่พัก และมีผู้คนจากที่อื่นมาพักแรมมากขึ้น

ในช่วงเวลาหนึ่ง กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (ตามที่ชาวบ้านเรียกกัน) ได้สร้างวังพักตากอากาศในหัวหิน การเดินเท้าจากวังไปยังสะพานปลาและหมู่บ้านริมทะเลเป็นเรื่องไม่สะดวก ถนนเส้นหนึ่งจึงถูก “ขอตัด” ผ่านหมู่บ้านชายฝั่ง เพื่อให้การสัญจรเป็นเรื่องง่ายขึ้น

สำหรับคนในชุมชน วันนั้นไม่ใช่ “วันที่ถูกเวนคืน” แต่เป็นวันที่ “เจ้านายมาขอใช้ทางผ่าน”

ชาวบ้านบางส่วนเล่าว่า:

  • พวกเขายินดีให้ตัดถนนผ่านที่ดินของตัวเอง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทุกคนเดินทางสะดวกขึ้น ทั้งเจ้านายและชาวบ้าน
  • ไม่มีใครมองว่าถนนคือเส้นแบ่งเขตระหว่าง “ที่ดินของเรา” กับ “ที่ดินที่เราต้องยกให้รัฐ”
  • หลังถนนตัดเสร็จ ชุมชนยังใช้พื้นที่ฝั่งทะเลเหมือนเดิม ทั้งตากปลา วางอวน ทำประมง และต่อมาก็ค่อย ๆ ปรับตัวตามยุคสมัย

ถนนนเรศดำริห์จึงถูกมองว่าเป็น “ถนนที่ผ่านหมู่บ้าน” ไม่ใช่ “ถนนที่ตัดขาดหมู่บ้านออกจากทะเล”

กาลเวลาทำให้ภาพนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เมื่อเมืองเติบโตขึ้น ถนนถูกมองเป็นเส้นแบ่งชัดเจนมากขึ้น ในแผนที่ราชการ พื้นที่ฝั่งหนึ่งของถนนกลายเป็นที่ดินมีโฉนด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งติดทะเล ถูกมองในอีกสถานะหนึ่งโดยกฎหมาย

แต่ในความรู้สึกของคนที่อยู่มาก่อน ถนนเส้นนี้ ไม่เคยตัดความเป็นเจ้าของหรือความผูกพันของพวกเขากับทะเลออกจากกันเลย


บทที่ 3 – หลักฐานบนกระดาษและในความทรงจำ

หากย้อนดูจากมุมของเอกสารราชการและเรื่องเล่าของชาวบ้าน จะเห็นเส้นเรื่องสำคัญร่วมกันคือ – รัฐ “รับรู้การมีอยู่” ของชุมชนนี้มาโดยตลอด

คนในชุมชนเล่าว่า:

  • มีการเก็บภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินจากบ้านฝั่งทะเลในบางช่วงเวลา (และจู่ๆก็ยกเลิกการเก็บไปภายหลังมีการฟ้องร้อง)
  • มีบ้านที่เคยขอใบอนุญาตทำกิจการ เช่น ทำกุ้งแห้ง ตากปลา หรือดัดแปลงเป็นบ้านเช่ารับนักท่องเที่ยว และได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ
  • มีใบเสร็จภาษีและเอกสารเก่าหลายฉบับที่บางครอบครัวเก็บไว้จนถึงวันนี้

ทั้งหมดนี้ทำให้คนในชุมชนเชื่อว่า – อย่างน้อยที่สุด ภาครัฐก็เคยยอมรับในเชิงปฏิบัติว่า “มีบ้าน มีคน อยู่ และใช้ประโยชน์ในพื้นที่นี้” ไม่ใช่เพิ่งเข้ามาบุกรุกหลังจากมีกฎหมายกำหนด

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อพูดถึงเรื่องโฉนดที่ดิน ชาวบ้านจำนวนมากกลับไม่มีเอกสารสิทธิ์ในฝั่งทะเล ทั้งที่ครอบครองใช้ประโยชน์มายาวนาน

เหตุผลสำคัญตามคำอธิบายของคนในชุมชนคือ:

  • ในยุคที่มีการออกโฉนดอย่างจริงจัง สำนักงานที่ดินไม่ได้อยู่ใกล้เหมือนปัจจุบัน การเดินทางไปติดต่อราชการไม่ใช่เรื่องง่าย
  • หลายครอบครัวมอบอำนาจให้ผู้นำท้องถิ่นหรือบุคคลที่ไว้ใจไปจัดการเรื่องเอกสารแทน
  • แนวถนน แนวเขตที่ดิน และพื้นที่ชายหาดถูกตีเส้นในแผนที่ตามมุมมองของรัฐในเวลานั้น ไม่ใช่มุมมองของคนที่อยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่แรก

ชาวบ้านบางคนตั้งข้อสังเกตว่า:

“ที่ดินราชพัสดุออกหมายเลขพาดยาวไปได้ แต่พอมาถึงตรงหมู่บ้านเรา เหมือนตัดเว้นไว้ ไม่ออกให้… ทั้งที่พวกเราอยู่กันอยู่ตรงนี้มาตลอด”

คำถามเหล่านี้อาจต้องการคำตอบจากหน่วยงานด้านที่ดินและฝ่ายกฎหมาย แต่สำหรับคนในชุมชน มันกลายเป็นรอยต่อระหว่างสิ่งที่เขา “รู้สึกว่าถูกต้อง” กับสิ่งที่กฎหมาย “เขียนว่าถูกต้อง” ซึ่งอาจไม่ตรงกันเสียทีเดียว


บทที่ 4 – เมื่อกฎหมายหันกลับมาหาหมู่บ้าน

เรื่องราวจากปากชาวบ้านเริ่มหนักขึ้น เมื่อเข้าสู่ช่วงที่กฎหมายและการฟ้องร้องเดินเข้ามาในชีวิตประจำวันของพวกเขา

คนในพื้นที่เล่าว่า คลื่นลูกแรกเริ่มต้นราว พ.ศ. 2546 เมื่อมีหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ริมทะเล โดยเฉพาะกรมเจ้าท่า และต่อมาจึงมีเทศบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง

ข้อหาที่ชุมชนต้องเผชิญมีตั้งแต่:

  • ขนส่งทางน้ำ (เจ้าท่าประจวบฯ) ฟ้อง 2 ข้อหา
  • 1 ความผิดต่อพรบ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย
  • 2 ความผิดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน (บุกรุกที่สาธารณะ)
  • เทศบาลร่วมฟ้อง 1 ข้อหา ความผิดต่อพรบ.ควบคุมอาคาร เอาผิดคนที่ทำสัญญาเช่าและครบกำหนด 10 ปีไม่ออกไป สั่งปรับวันละ 1,000บาท ถูกปรับรายละ 1-2 บาท

สำหรับชาวบ้านหลายคน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าพื้นที่ที่ตัวเองอยู่มาตั้งแต่เด็ก ถูกเรียกว่า “ที่สาธารณะ” และตัวเองอาจกลายเป็น “ผู้บุกรุก” ตามถ้อยคำในเอกสารราชการ

มีเรื่องเล่าจากการถูกเชิญไปประชุม ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหลายครอบครัว:

  • รายชื่อเจ้าของบ้านและผู้ประกอบการถูกเรียกให้ไปประชุมที่เทศบาลในนาม “การปรึกษาหารือ”
  • ในสายตาชาวบ้าน พวกเขาไปเพื่อฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
  • แต่ต่อมา รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมกลับถูกใช้เป็นหลักฐานว่า “รับทราบ” แล้ว และถูกนำไปผูกกับคดีในชั้นศาล

จากห้องประชุม สู่ห้องพิจารณาคดี จากการนั่งฟัง กลายเป็นการยืนให้การ จากการถูกร้องขอให้ “ร่วมมือ” กลายเป็นการถูกกล่าวหาว่า “ดื้อดึง” บางรายถูกตัดสินให้ปรับเป็นเงินหลักแสนถึงหลักล้าน บางรายยอมติดคุกแทนการจ่ายค่าปรับ โดยหวังว่าจะไม่ต้องสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองมาหลายรุ่น

หนึ่งในภาพจำที่คนในชุมชนยังเล่าอยู่เสมอ คือภาพของการถูกใส่กุญแจมือหน้าศาล สำหรับคนที่เคยใช้มือคู่นั้นทำมาหากินอย่างสุจริต ในพื้นที่ของตัวเอง ภาพของกุญแจมือกลายเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกว่า “ประวัติศาสตร์ของครอบครัว” กำลังถูกตัดสินด้วยถ้อยคำในกฎหมายเพียงไม่กี่บรรทัด

และเมื่อคำพิพากษาบางส่วนออกมาเป็นการให้ “ออกจากพื้นที่พร้อมบริวาร” บ้านหลายหลังจึงถูกเจ้าของรื้อถอนด้วยมือตัวเอง – เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี

พื้นที่ริมถนนนเรศดำริห์ที่เคยเป็นแนวบ้านเรือนต่อเนื่อง จึงค่อย ๆ กลายเป็นแนวฟันหลอ ช่องว่างแต่ละช่องคือบ้านหนึ่งหลัง และเรื่องราวหนึ่งครอบครัวที่ต้องย้ายออกไป


บทที่ 5 – อยู่ต่อไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะศักดิ์ศรีของผู้บุกเบิก

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ชาวบ้านอยากอธิบายให้คนภายนอกฟังคือ – พวกเขาไม่ได้อยู่ต่อเพราะพื้นที่นี้ทำเงินดี หรือเพราะอยากยึดทำธุรกิจอย่างเดียว

ในความเป็นจริง:

  • บ้านบางหลังไม่มีการเปิดเป็นร้านอาหารหรือเกสต์เฮาส์แล้วด้วยซ้ำ กลายเป็นบ้านร้างหรือบ้านที่มีคนแก่พักอาศัย
  • รายได้จากการค้าขายหลายอย่างลดลงตามสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันจากพื้นที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในหัวหิน

สิ่งที่ชาวบ้านกลัวมากกว่า “การสูญเสียรายได้” คือ “การถูกตราหน้า” หากวันหนึ่งต้องย้ายออก พวกเขาอยากออกไปในฐานะ “ผู้บุกเบิกที่ยอมคืนพื้นที่ให้รัฐ เมื่อทุกอย่างพิสูจน์ชัดแล้ว” ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้บุกรุกที่ยอมรับว่าตัวเองผิดมาตลอด”

ชาวบ้านยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธกฎหมาย แต่ขอให้กฎหมายรับฟัง “ความต่อเนื่องของการครอบครองและใช้ประโยชน์” ที่เริ่มมาตั้งแต่ก่อนจะมีบทบัญญัติบางฉบับเสียด้วยซ้ำ ในมุมมองของพวกเขา การต่อสู้ในวันนี้ไม่ใช่การยื้อแย่งพื้นที่ทำเลทองริมทะเล แต่คือการพยายามลบคำว่า “ผู้บุกรุก” ออกจากชื่อของหมู่บ้านที่บรรพบุรุษเป็นคนริเริ่ม

ถ้าต้องมีการเวนคืน – พวกเขาเข้าใจว่ารัฐสามารถดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายได้ แต่ในรัฐธรรมนูญและหลักความเป็นธรรม พวกเขาเชื่อว่าต้องมีการเยียวยาที่เหมาะสมทั้งด้านที่อยู่และศักดิ์ศรี

และที่สำคัญที่สุด คืออยากให้สังคมรู้ว่า

“เราไม่ใช่คนดื้อด้าน แต่เรายังมีช่องทางตามกฎหมายให้เดิน และเราขอใช้สิทธิ์นั้นจนสุดทาง”


บทที่ 6 – ความหวังต่อจากนี้ของคนริมถนนนเรศดำริห์

ณ วันที่บันทึกเรื่องนี้ ชุมชนริมถนนนเรศดำริห์ยังไม่รู้คำตอบสุดท้ายว่าตัวเองจะได้อยู่ต่อหรือไม่ บ้านหลังไหนจะต้องรื้อ บ้านหลังไหนจะรอด และคำว่าชุมชนดั้งเดิมจะถูกเขียนไว้ตรงไหนในเอกสารของรัฐ

สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่คือ:

  • ยื่นเรื่องขอ “พิสูจน์สิทธิ์” เพื่อยืนยันสถานะความเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ส่งข้อมูลและหลักฐานให้สำนักงานนโยบายที่ดินแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดิน
  • ใช้ช่องทางตามกฎหมายทุกประการ เพื่อให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน

ในระหว่างที่ทุกอย่างยังรอการพิจารณา ชาวบ้านยังคงตื่นขึ้นมาเฝ้าดูบ้านของตัวเองในทุกเช้า – ว่าวันนี้จะมีหนังสือใหม่จากหน่วยงานไหนส่งมาหน้าประตูหรือไม่

คำขอเล็ก ๆ จากชาวบ้านริมถนนนเรศดำริห์ที่อยากฝากถึงคนหัวหินและคนภายนอกเมืองคือ:

  • ก่อนจะตัดสินว่าพวกเขา “บุกรุก” หรือ “ผิดกฎหมาย” อยากให้ลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้สักนิด
  • ลองนึกภาพเมืองหัวหินที่ไม่มีหมู่บ้านดั้งเดิมริมทะเล ไม่มีสะพานปลา ไม่มีชุมชนชาวประมงที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ถ้าเรายอมรับว่าเมืองเติบโตมาจากจุดเล็ก ๆ แห่งนี้จริง ๆ – เราอาจมองข้อพิพาทนี้ในมุมที่ลึกกว่าแค่คำว่า “ถูก” หรือ “ผิด”

ท้ายที่สุด ไม่ว่าคำพิพากษาทางกฎหมายจะออกมาอย่างไร คนในชุมชนนี้บอกว่า พวกเขาจะยอมรับ – ถ้ากระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นจากการมองเห็นว่า

“ที่นี่เคยเป็นบ้านของผู้บุกเบิก มาก่อนจะเป็นที่ดินของใครในแผนที่ของรัฐ”


และนี่คือเหตุผลที่พวกเขายังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เพื่อท้าทายกฎหมาย แต่เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ของตัวเองหายไปจากทะเลหัวหิน

บันทึกโดย: HuaHin Town
จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านริมถนนนเรศดำริห์ ชุมชนดั้งเดิมริมทะเลหัวหิน

Avatar photo
พวกเราหัวหินทาวน์ จะมาบอกเล่าเรื่องราวดีดีๆเกี่ยวกับหัวหินให้เพื่อนๆได้ชมกันนะคะ คิดถึงหัวหิน คิดถึงพวกเรา หัวหินทาวน์