หัวหินยังมีมุมที่เราไม่เคยเห็นเสมอ และมีคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้กล้องกับหัวใจออกเดินทางไปบันทึกมันไว้ ทีม “มาดิวัยรุ่น” ไม่ได้ชวนให้เราเช็คอิน แต่ชวนให้เราฟังชีวิตของผู้คนจริง ๆ ผ่านภาพ เสียง และอารมณ์ที่ซื่อสัตย์ต่อพื้นที่ “เราอยากเป็นคนบันทึกให้ดีกว่า ก่อนที่บางอย่างจะหายไป” พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่มั่นคง จนเรารู้ว่าเบื้องหลังภาพทุกเฟรม คือความตั้งใจที่มาจากหัวใจมากกว่ากล้อง
แนะนำตัวเองและทีม “มาดิวัยรุ่น” ว่ามารวมตัวกันได้ยังไง และแต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง?
บลู: ผมบลูครับ เป็นครีเอทีฟและช่างภาพนิ่ง
พี: ผมพีครับ เป็นดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและโปรดิวเซอร์ ส่วนพี่ต้นเป็นไดเร็กเตอร์หรือผู้กำกับ มินดูแลโดรน และเป้เป็นผู้ช่วยอีกคนหนึ่งครับ
บลู: เราเริ่มจากทำงานในบริษัทเดียวกันโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพิ่งเจอกันราว ๆ สามปี ผมเป็นช่างภาพอสังหา พี่พีทำมาร์เก็ตติ้ง พี่ต้นเป็นผู้กำกับแล้วมาทำงานด้านวิดีโอ และมีทีมกราฟิกด้วย งานของเราคล้ายทำโปรดักชันเต็มตัวอยู่แล้ว

พี: จุดเริ่มต้นคือคุยกันเรื่องหัวหิน เรารู้สึกว่าเมืองนี้มีร้านลับ ๆ และที่สวย ๆ เยอะมาก แต่เวลาจะแนะนำเพื่อนกลับนึกออกแค่ที่เดิม ๆ ก็เลยอยากลองทำอะไรที่ช่วยโปรโมทเมืองนี้ให้คนเห็นมุมใหม่ ๆ
บลู: อีกอย่างคือเราไม่ใช่คนหัวหินโดยกำเนิด มันเลยเห็นความ “ว้าว” ของเมืองนี้ในแบบที่คนพื้นที่อาจชินแล้ว เรามองว่าเมืองมันสมบูรณ์มาก ทุกอย่างดูใหม่และน่าสนใจไปหมด
แล้วชื่อ “มาดิวัยรุ่น” มาจากไหน?
พี: เกิดในครัวตอนพักเบรกครับ ตอนแรกคิดว่าดูกวน ๆ ไปไหม แต่พี่ต้นชอบมาก บอกว่าชื่อแบบนี้มันดูเฮฮาและเข้าถึงง่ายดี
ช่วงแรก ๆ คอนเทนต์ของเพจเป็นแนวไหน แล้วระหว่างทางมีพัฒนาหรือปรับสไตล์การเล่าเรื่องยังไงบ้าง?
บลู: ผมกับพี่ต้นชอบงานสไตล์ญี่ปุ่นแบบช่อง Nao ที่เล่าชีวิตประจำวันด้วยภาพล้วน ไม่มีบทพูด มีแต่ซาวด์แล้วปล่อยให้เราซึมซับไป เราได้แรงบันดาลใจจากตรงนั้นเลยเริ่มจากการทำสารคดีภาพเป็นหลัก เล่าเรื่องผ่านช่างภาพที่ออกไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ

พี: ตอนแรกพี่ต้นเป็นคนถ่ายเยอะที่สุด เพราะเข้าใจงานวิดีโอมากที่สุด และรู้สึกว่าถ้าจะเล่าแบบนี้ อยากให้คน “รู้สึก” ตัวเขาต้องรู้สึกก่อน ก็เลยไปถ่ายเองแทบทั้งหมด ตัวแรกที่ถ่ายคือสวนสาธารณะทับใต้ครับ
บลู: แล้วเราก็เคยเถียงกันเรื่องอัตราส่วนภาพจริงจังมาก พี่พีบอกว่าคนดูในมือถือควรเป็น 9:16 ส่วนพี่ต้นอยากได้สไตล์ภาพยนตร์ 2:35:1 งอนกันเลยครับ (หัวเราะ) สุดท้ายหาทางออกด้วยการใส่แถบดำนิด ๆ ให้ดูสวยแต่ยังเหมาะกับมือถือ
ถ้าพูดถึงพัฒนาการ ผมว่ามีอยู่สามช่วงครับ ช่วงแรกเราให้ “ภาพเล่าเรื่อง” ไม่มีเสียงสัมภาษณ์ เพราะอยากให้ภาพนำ อยากให้คนตีความเอง หลายคนบอกว่าดูเหงา แต่เราก็อยากพรีเซนต์งานภาพแบบนั้นจริง ๆ

พี: พอผ่านยุคนั้นไป เรารู้สึกว่ามันดูยากไปหน่อย ก็เลยเข้าสู่ยุคสอง ที่เริ่มมีเสียงพูดและบทสัมภาษณ์จากเจ้าของร้านหรือผู้คนมากขึ้น แต่ก็ยังคงความเป็นสารคดีภาพอยู่เหมือนเดิม จนมาถึง “ยุคสาม” ที่เริ่มเข้าสู่แพลตฟอร์มแนวตั้ง พี่ต้นเป็นคนชอบลองหลายอย่างมาก ทั้งรูปแบบการถ่ายและวิธีเล่าเรื่อง จากเดิมที่ใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะได้คลิปหนึ่ง เราก็เริ่มทดลองทำคอนเทนต์สั้น ๆ ที่เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังคงคุณภาพและความตั้งใจไว้เหมือนเดิม
ต้น: เราให้ความสำคัญกับคนดูเป็นหลัก อีโก้เลยต้องโยนทิ้งไปก่อน เราต้องถามตัวเองว่าคนดูจะได้อะไรไหม เขาควรได้รับประโยชน์หรือมุมมองบางอย่างจากสิ่งที่เราทำหรือเปล่า เราเคยทะเลาะกันเรื่องเล็ก ๆ อย่างโทนสีภาพ แต่สุดท้ายก็รู้ว่ามันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่คนดูจะได้รับ บทสรุปคือ เราต้องวางอีโก้ แล้วเอาคนดูไว้ก่อนเสมอ

นิยามความเป็น “มาดิวัยรุ่น” ว่ายังไง และอยากให้คนจดจำเพจนี้แบบไหน?
พี: คำว่า “วัยรุ่น” ของเรามันไม่ได้หมายถึงวัยทีนเลยครับ แต่หมายถึง “รุ่น” ของแต่ละคนมากกว่า ทุกคนมีช่วงเวลาของตัวเอง ความเป็นเพจเรามันเริ่มจากมุมมองของช่างภาพ เลยอยากนำเสนอสิ่งที่ทำให้คน “คิดถึง” ไม่ว่าจะคิดถึงบ้าน คิดถึงวันเก่า ๆ หรือคิดถึงชีวิตที่เคยเป็น ถ้าวันหนึ่งคนอยากหาความรู้สึกแบบนั้น แล้วได้จากเพจเรา แค่นั้นก็ดีใจแล้วครับ เพราะทุก “รุ่น” อยู่ในเพจนี้หมดเลย
ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องในสไตล์ “Life Cinematic Documentary”
แล้วทีมตั้งใจอยากให้ผู้ชมรู้สึกอะไรผ่านภาพ เสียง และเรื่องราวเหล่านี้บ้าง?
บลู: ผมเป็นคนถ่ายรูปครับ แล้วก็ชอบขับรถกด GPS ไปมั่ว ๆ เพื่อจะได้เจอสถานที่ที่ไม่รู้จัก พอไปถึงจริง ๆ ก็มักจะได้เจอผู้คนและเรื่องราวที่ไม่คาดคิด เพจเลยเริ่มจากการสื่อสารเรื่อง “การเดินทางและวิถีชีวิตของผู้คน” ที่เราอยากเก็บไว้เล่าในแบบ Life Cinematic ครับ
พี: จุดเริ่มต้นจริง ๆ มาจากแพชชั่นของพี่บลูนี่แหละครับ พอทำไปสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันมีคุณค่ามากเกินกว่าจะเก็บไว้ดูคนเดียว ทำไมเราไม่เล่าให้คนอื่นรู้บ้าง ก็เลยกลายเป็นคอนเทนต์แบบ “มาดิวัยรุ่น” ที่เห็นทุกวันนี้

บลู: หลายเรื่องที่เราเล่ามันคืออีกมุมที่คนอาจไม่เคยเห็นของหัวหินครับ เราคิดกันบ่อยว่า ถ้าเราไม่ถ่ายเก็บไว้ตอนนี้ วันหนึ่งมันอาจหายไป แล้วเราจะเสียดายทีหลังว่าทำไมวันนั้นถึงไม่เก็บไว้ก่อน
พี: สุดท้ายแล้วเราก็แค่อยากให้คนดูรู้สึก “คิดถึง” ครับ ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำดี ๆ หรือภาพที่คุ้นตาในเมืองนี้ อย่างน้อยถ้าคนที่อยู่ไกลบ้านได้เห็นแล้วหวนคิดถึงบ้าน หรือย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลานั้น ๆ ได้ เราก็ถือว่าทำสำเร็จแล้วครับ เพราะเพจเราตั้งใจจะเป็นคนบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ให้ดีที่สุด
เวลาเจอเรื่องราวของใครสักคน อะไรคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า “นี่แหละ เรื่องที่เราอยากเล่า”
พี: จริง ๆ เรามีแพลนกันไว้นะครับว่าจะไปถ่ายอะไรบ้าง แต่ทุกครั้งที่ออกกอง มันมักจะหลุดจากกรอบที่วางไว้เสมอ (หัวเราะ) จากที่ตั้งใจจะถ่ายพระบิณฑบาต หรือถ่ายชายหาดสวย ๆ กลับกลายเป็นเราได้เล่าเรื่องชีวิตยามเช้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติแทน
พี่ต้นเขาจะมองว่า มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน แต่กลับเป็น “ความสวยงามของความไม่ตั้งใจ” มากกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวในอีกมุมหนึ่ง

มีเรื่องไหนที่ประทับใจแบบลืมไม่ลงบ้างไหม?
พี: ตอนถ่ายลุงขายข้าวเหนียวปิ้งหน้าตลาดฉัตรชัยครับ เป็นแค่ช็อตอินเสิร์ตในงานมุ้ยฮั้วหัวหิน พอปล่อยคอนเทนต์ไป เราไม่รู้เลยว่านั่นคือภาพสุดท้ายของลุง ญาติเขาทักมาขอรูปไปให้ครอบครัว แล้วบอกว่าดีใจมาก ตอนนั้นเราพูดกันเลยว่า “ทำไมเราไม่ถ่ายให้ดีกว่านี้นะ” มันเป็นโมเมนต์ที่เรารู้สึกทั้งซึ้งและใจหายในเวลาเดียวกัน
บลู: พอเป็นภาพนิ่งมันก็มีอิมแพ็กต์ในตัวเองอยู่แล้วครับ แต่พอเป็นภาพเคลื่อนไหว มันจะได้ทั้งเสียง ทั้งบรรยากาศ ซึ่งบางอย่างพอกาลเวลาผ่านไป มันไม่มีวันกลับมาบันทึกได้อีกแล้วจริง ๆ
พี: หรืออีกเหตุการณ์หนึ่ง วันนั้นเราวางแผนกันว่าจะไปหาอะไรกินเฉย ๆ ก็เลยติดกล้องไปด้วย แล้วบังเอิญไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง พอได้คุยกับเจ้าของร้านถึงรู้ว่าเขาขายชามละ 20 บาทมาตลอดกว่า 10-20 ปีแล้วก็ยังอยู่ได้ เราเลยถ่ายเก็บไว้ คิดแค่ว่าน่าจะเป็นคลิปเล็ก ๆ ที่คนดูคงรู้สึกดี แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะถูกแชร์ต่อเยอะขนาดนั้น จนหลานเจ้าของร้านทักมาขอบคุณ บอกว่าคนตามมาที่ร้านเยอะมาก ตอนนั้นเรารู้สึกว่า “งานของเรามันไปถึงคนจริง ๆ” จากที่เคยสงสัยว่างานแบบเรามันจะเข้าถึงยากไหม ตอนนั้นเราได้คำตอบเลยครับ
การเดินทางและพบปะพูดคุยกับผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ทีมได้แนวคิดหรือมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับชีวิตยังไงบ้าง?
บลู: หลายอย่างเลยครับ เราได้เรียนรู้ว่าแต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน มุมมองชีวิตก็เลยแตกต่างกันไป ทำให้เราไม่กล้าที่จะไปตัดสินใครง่าย ๆ คนเรามีเหตุผลในแบบของตัวเองเสมอ เราอาจคิดว่าชีวิตควรเป็นแบบหนึ่ง แต่พอได้ฟังเขา เราจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเขาถึงเลือกเดินทางแบบนั้น
พี: ใช่ครับ เราก็เปลี่ยนไปเยอะเลย พอได้เจอผู้คน ได้ฟังเรื่องราวชีวิตหลากหลายรูปแบบ มันทำให้เราค่อย ๆ โตขึ้น ทั้งในเรื่องการทำงานและทัศนคติ หลายครั้งคำพูดหรือประสบการณ์ของคนที่เราไปสัมภาษณ์ มันก็กลายเป็นแรงบันดาลใจกลับมาหาเราด้วยเหมือนกันครับ

เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหมดไฟบ้างไหม แล้วอะไรทำให้เรายังคงเดินหน้าต่อได้?
พี: ถ้าพูดว่าหมดไฟเลยคงไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่ขี้เกียจมีแน่นอน (หัวเราะ) บางช่วงก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดจะหยุดกันจริง ๆ
บลู: : ใช่ครับ เราเริ่มจากกล้องตัวเล็ก ๆ APS-C จนวันนี้ใช้เลนส์อนามอร์ฟิก ถ้าถามว่าจะหยุดไหม ก็ดูจากอุปกรณ์ได้เลยครับ (หัวเราะ)

มองไปข้างหน้า ทีมอยากพัฒนา หรือต่อยอดเพจให้เติบโตไปในทิศทางไหน มีอะไรที่อยากลองทำหรือฝันไว้ในระยะยาวบ้างไหม?
บลู: เพจเราจริง ๆ ก็เป็นสายธรรมะอยู่นะ (หัวเราะ) พยายามอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทุกคลิปเราตั้งใจมาก อย่างพี่ต้นที่ตัดต่อก็ละเอียดสุด ๆ จนบางทีจะไปหาหมอกระดูกเลย (หัวเราะ) เราแค่พยายามทำเหตุให้ดี ส่วนผลมันก็จะตามมาเองครับ
พี: ใช่ครับ ถึงจะพูดว่าอยู่กับปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มองอนาคตเลย เราก็คิดไว้เหมือนกันว่า ถ้าวันหนึ่งเพจเป็นที่รู้จักมากขึ้น แล้วสามารถส่งต่อพลังดี ๆ หรือช่วยเหลือสังคมได้บ้าง มันก็คงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับพวกเราแล้วครับ

สุดท้าย อยากฝากอะไรถึงคนที่ติดตามเพจ รวมถึงคนที่กำลังค้นหาเส้นทางของตัวเอง
บลู: ผมสนับสนุนเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องทำตามสไตล์เรา ทำสไตล์ของตัวเองไปเลย อย่างที่น้อง ๆ กำลังทำอยู่
พี: มีหลายคนที่มีไอเดียอยากลองทำหลาย ๆ อย่าง เราอยากบอกว่า ลองทำไปเลยครับ ถ้ามันผิดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ลองและได้เรียนรู้ ถ้าไม่เวิร์กก็ปรับใหม่ ลองอีกครั้งก็ได้ พวกเราเองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ ยังต้องสู้กันทุกวันเหมือนกัน

ช่องทางติดตาม
Facebook : มาดิวัยรุ่น
YouTube : Lumpsum Studio
TikTok : Lumpsum Studio
IG : Lumpsum Studio




