ในการทำ SEO (Search Engine Optimization) หลายคนมักมองไปที่ ยอดวิว (Page Views) เป็นตัวชี้วัดหลักของความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริง SEO ที่มีประสิทธิภาพควรสร้างผลลัพธ์ที่ มากกว่ายอดผู้เข้าชมเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การเข้าใจ Key Results ที่สำคัญในการวัดผล SEO จะช่วยให้ธุรกิจของคุณ เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถ วางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่แม่นยำยิ่งขึ้น
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจกับ 5 Key Results ที่สำคัญในการทำ SEO ที่จะช่วยวัดผลได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตและส่งผลดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
- อันดับของคีย์เวิร์ด (Keyword Rankings)
Keyword Ranking เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการทำ SEO บ่งชี้ว่าเว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่บน หน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERP: Search Engine Results Page) ของ Google หรือ Search Engine อื่น ๆ เพราะการติดอันดับในหน้าแรกของ Google จะเพิ่มโอกาสได้รับ Organic Clicks โดยเฉพาะตำแหน่ง Top 3 (อันดับ 1-3) ที่มีอัตราการคลิก (CTR) สูงที่สุด และคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับดีมักส่งผลต่อ Brand Authority และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
สำหรับการวัดผลด้วยวิธีนี้ สามารถทำได้ด้วยการใช้เครื่องมือ SEO หลากหลายประเภท เช่น Google Search Console, Ahrefs, SEMrush หรือ Moz เพื่อติดตามอันดับของคีย์เวิร์ดที่สำคัญ และนำไปวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดไหนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง นำไปสู่การปรับกลยุทธ์เนื้อหาให้เหมาะสม
- อัตราการคลิก (Click-Through Rate – CTR)
CTR คือเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เห็นเว็บไซต์ของคุณในผลลัพธ์การค้นหา (Impressions) และคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ (Clicks) การมีค่า CTR สูงหมายความว่า Meta Title และ Meta Description ดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกได้ดี CTR ที่ดีช่วยเพิ่ม Organic Traffic โดยไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณา และต่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง แต่ถ้า CTR ต่ำ ก็หมายความว่าคอนเทนต์ของคุณไม่ดึงดูดเพียงพอ
สามารถวัดผล CTR ได้ด้วยการใช้ Google Search Console หากยังไม่น่าพอใจ แนะนำให้ปรับ Meta Title และ Meta Description ให้ดึงดูด เช่น เพิ่มตัวเลข, ใช้คำกระตุ้นการคลิก หรือใช้คีย์เวิร์ดให้สอดคล้องมากขึ้น
- อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Metrics)
อัตราการมีส่วนร่วมเป็นตัวชี้วัดว่าผู้เข้าชมมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของคุณอย่างไร ซึ่งวัดได้จากค่าต่าง ๆ เช่น Bounce Rate, Average Session Duration และ Pages Per Session หากค่าเหล่านี้สูง แสดงว่าเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ดึงดูดและตอบโจทย์ผู้ใช้งาน แต่หาก Bounce Rate สูง อาจหมายถึงผู้เข้าชมออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่พบข้อมูลที่ต้องการ
Engagement Metrics วัดผลได้ด้วย Google Analytics หากต้องการปรับปรุง ควรพัฒนา UX/UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น เพิ่ม Internal Linking เพื่อนำทางผู้ใช้ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงเนื้อหาให้ดึงดูดมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ใช้เวลาในเว็บไซต์นานขึ้นและลดอัตรา Bounce Rate
- อัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate – CVR)
Conversion Rate (CVR) คือเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น การซื้อสินค้า, กรอกฟอร์ม, สมัครสมาชิก หรือดาวน์โหลดไฟล์ CVR ที่สูงแสดงว่าเว็บไซต์สามารถดึงดูดและโน้มน้าวผู้ใช้ให้เกิดการกระทำที่ต้องการได้ดี
สามารถวัดผล CVR ได้ผ่าน Google Analytics หรือ Google Tag Manager หากต้องการเพิ่ม CVR แนะนำให้ A/B Testing เพื่อลองปรับเปลี่ยน CTA (Call to Action), Landing Page Design, หรือแบบฟอร์มให้ใช้งานง่ายขึ้น นอกจากนี้ การปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าได้ด้วย
- คุณภาพของ Backlink และ Link Equity
Backlink และ Link Equity มีบทบาทสำคัญในการเพิ่ม Domain Authority (DA) และช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้น Backlink ที่มาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น เว็บไซต์ข่าว, บล็อกอุตสาหกรรม หรือเว็บไซต์พันธมิตรที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มพลัง SEO และทำให้เว็บไซต์ได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
เครื่องมือที่ใช้วัดผล ได้แก่ Ahrefs, SEMrush หรือ Moz หากต้องการพัฒนา Link Equity ควรมุ่งเน้นที่การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมี DA สูง หลีกเลี่ยงลิงก์จากเว็บไซต์สแปม และพัฒนา Internal Linking ภายในเว็บไซต์เพื่อกระจายพลัง SEO อย่างเหมาะสม
หากคุณสามารถพัฒนา SEO โดยเน้นผลลัพธ์ทั้ง 5 ด้านนี้ควบคู่กันไป ธุรกิจของคุณจะไม่เพียงได้ Traffic เพิ่มขึ้น แต่ยังสร้างโอกาสในการขาย สร้างแบรนด์ และทำให้เว็บไซต์เติบโตได้อย่างยั่งยืน แล้วถ้ากำลังมองหาทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO มาช่วยสร้างผลลัพธ์ใหม่ให้ธุรกิจ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.primal.co.th/th/seo/ ได้เลย
